Angelus แบรนด์นาฬิกาอะนาล็อคที่มีความก้าวหน้าตามกาลเวลา ตัวของแบรนด์เองเป็นการเข้ามาซื้อกิจการต่อของ La Joux-Perretโดยมีผู้ชักนำให้ซื้อคือ Sebastien Chaulmontetหนึ่งในทีมผู้บริหารที่มีความหลงไหลและนักสะสมคอลเลคชันของแบรนด์ Angelus โดยทาง La Joux-Perretหลังจากซื้อกิจการจึงเริ่มคิดค้นและให้แบรนด์หันมาใช้นวัตกรรมแนวคิดให้นาฬิกาเป็นงานศิลปะขั้นสุดยอด การออกแบบที่มุ่งเน้นไปที่โลกอนาคต และไม่เคยพลาดที่จะมีความคิดสร้างสรรค์กลไกให้เยี่ยมยอดเสมอ
ด้วยการนำเอาความซับซ้อนของกลไกสร้างการยกระดับแบรนด์และคอลเลคชันให้สู่ระดับ High End ด้วยการใส่เอา Tourbillons และการจับวินาทีที่แม่นยำแห่งความเป็น chronographs และในปี 2022 Angelus ได้มีการเปิดตัวนาฬิกาที่ออกแบบใหม่แต่ให้ความรู้สึกเหมือนการรีเมคเพิ่มมูลค่าของความวินเทจ เพื่อตอบสนองความต้องการของนักสะสมนาฬิกาของใหม่เสมือนเก่า
การเลือกหยิบเอา Tourbillons มาใช้เป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อยกระดับกลไกนาฬิกาเพื่อตอกย้ำคามเที่ยงตรงให้น่าเชื่อถือ จัดว่าเป็นความอัจฉริยะแห่งการยกระดับนวัตกรรมนาฬิกาวินเทจที่ไม่จำเจกับรูปแบบและกลไกเดิม ๆ และเป็นความน่าสนใจกับการเปลี่ยนรูปแบบวินเทจให้ทันสมัยแต่ยังคงกลิ่นอายไว้ได้อย่างดีเยี่ยม
Angelus Chronodate Limited-Edition Watches
Retail Price 1,060,000 THB Titanium
Angelus Chronodate Limited-Edition Watches
Retail Price 2,000,000 THB Red Gold
คอลเลคชันนี้เป็นการเปิดตัวเพื่อการเฉลิมฉลองครบรอบ 80 ปี สำหรับการกลับมาผลิตใหม่ที่ก่อนหน้ามีเคยโด่งดังและเงียบหายไป กับความโด่งดังในอดีต Angelus เป็นแบรนด์ผู้ผลิตนาฬิกาแบบผสมผสานสร้างความซับซ้อนแบบที่ยังไม่มีใครทำได้เต็มรูปแบบในตอนนั้น นั่นก็คือการนำรวมกันที่เรียกว่า Bi-compax chronograph การหายไปไม่รู้ว่าเป็นแผนการตลาดในอนาคตที่ยาวนานหรือไม่ เพราะมันได้ผลมากเมื่อเปิดตัว Angelus Chronodate Limited-Edition Watches
เพราะรูปแบบและดีไซน์ในคอลเลคชั่นนี้ อย่างที่บอกไม่ใช่การรีเมคแต่เป็นการทำใหม่แต่คงไว้ซึ่งความป๊อปปูล่าเมื่อ 80 ปีที่แล้ว จึงถึงว่าคอลเลคชันนี้จบครบได้สมบูรณ์เพราะเป็นการอิงอารมณ์ในยุคดิจิทัลในปัจจุบันได้ลงตัว ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบที่คงไว้ สีสันรวมไปถึงวัสดุที่ใช้
รูปแบบและดีไซน์
วัสดุตัวเรือนถูกเลือกให้เป็นเนื้อFtitanium หรือRred Gold ที่มีน้ำหนักถึง 18k 5Nข้อต่อตรงกลางสองจุด และขอบตัวเรือนและฝาหลัง ทางแบรนด์ได้ปรับความซับซ้อนเข้าไปเพื่อสร้างความท้าทาย ขอบตัวเรือนทำจากไททาเนียมหรือทองคำสีแดงจะสร้างความเฉพาะด้วยรอยบากและเพิ่มให้มีวงแหวนใส่อยู่ที่ด้านล่างที่เป็นคาร์บอนคอมโพสิต สำหรับปุ่มกดในโหมดของความเป็นโครโนกราฟคาร์บอนคอมโพสิต จะเห็นได้ว่ามีเม็ดมะยมขนาดใหญ่และมีวงแหวนยางตัดกับกรอบสีทอง
คอลเลคชันนี้ผลิตออกมามี 2 โทนสีหน้าปัด Blue และ Opaline White หากนักสะสมคนไหนที่เป็นสาวกแห่งความ Gold อาจจะต้องเลือกสำหรับโทนสี Blue เพราะทำมาเฉพาะกับโทนสีนี้เท่านั้น แต่ทั้งสองสีใช้วัสดุเคส Titanium เหมือนกัน ตรงกลางของหน้าปัดมีผิวเคลือบน้ำค้างแข็งพร้อมหน้าปัดย่อยสองหน้าปัด เป็นการบอกวินาทีและตัวนับโครโนกราฟที่บอกรอบเวลา 30 นาที รอบหน้าปัดบอกนาทีจะถูกสร้างมาเป็นแทร็กสีดำจัดรูปแบบเฉียงขึ้นเพื่อการมองที่ง่ายต่อสายตา เพิ่มมิติแห่งการดูเวลาด้วยเข็มวินาทีแบบเข็มฉีดยา และให้สีแดงในหน้าปัดย่อยโครโนกราฟ เพิ่มเติมด้วยวงแหวนบอกวันที่ที่เป็นตัวโดดเด่นของรุ่นนี้ที่ขอบด้านนอกเอกลักษณ์ทางด้านไอเดียที่ชัดเจนของแบรนด์ เคลือบ Super-LumiNova ส่วนบอกเวลาชั่วโมงเพื่อการทำงานในพื้นที่แสงน้อย โลโก้ Angelus สีขาวถูแปะไว้ตำแหน่ง 12 นาฬิกา เป็นวัสดุไทเทเนียมและทองคำสีแดงและเคลือบด้วยน้ำยาสร้างความเงาสีดำเป็นงานทำมือ
ดีไซน์ด้านหลังตัวเรือน
เมื่อพลิกด้านหลังจะเห็นถึงกลไก Calibre A500 ซึ่งผลิตโดย La Joux-Perret ที่เป็นบริษัทแม่ ใช้งานถาปัตยกรรมของ Valjoux 7750 แต่เป็นการปรับปรุง Movement ใหม่ มีความคล้ายคลึงกับ Chronodate รุ่นดั้งเดิม มันทำงานที่ความถี่ 28,800vph และมี 26 Jewels สามารถสำรองพลังงานได้ยาวนานถึง 60 ชั่วโมง
สำหรับแบรนด์นาฬิกาที่ยกระดับสู่ High Eand จะไม่พลาดด้วยการใช้กระจกหน้าปัดที่ทำจากคริสตัลแซฟไฟร์เป็นการสะท้อนภาพภายในที่ชัดเจนและทำให้คุณมองเห็นการเคลื่อนไหวได้เต็มที่และสร้างความเพลิดเพลิน ด้วยรูปแบบการตกแต่งที่ดูเข้าสมัยของนาฬิกาด้วยการให้พื้นผิวเป็นลักษณะพ่นทรายและไมโครบีด Sandblasted และ Micro-bead มีการชุบโรเดียมแบบเม็ดกลม สายของนาฬิกาถูกเลือกวัสดุแบบ Textile Strap มีให้เลือกทั้งสีดำและน้ำเงิน สำหรับตัวผ้าที่ทำเป็นสายจะมีลายนูนที่มีลักษณะคล้ายผ้า Cordura มีสายรัดเป็นเนื้อไทเทเนียมสีทอง
จากราคาที่เราเห็นกันด้านบน ก็ไม่แปลกใจหากคอลเลคชันนี้เป็น Limited-Edition ที่ผลิตออกมาเพียงแค่ 25 เรือนเท่านั้น ในแต่ละแบบ เพื่อสร้างความดูมีคุณค่าจากรายละเอียดที่เป็นเทคนิคเฉพาะของแบรนด์ และที่สำคัญการให้คุณค่ากับศิลปะบนตัวเรือนนาฬิกาที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งโดยส่วนใหญ่การผลิตลักษณะนี้จะเกิดขึ้นกับแบรนด์ที่อยู่ในระดับไม่ง้อคนซื้อเพราะสร้างมาเพื่อคุณค่าทางใจสำหรับนักสะสมที่ให้คุณค่ามากกว่าตัวเงิน watchfunonline
เกมส์ออนไลน์แนะนำ >>> แทงบอล