เป็นที่รู้จักการมาอย่างยาวนานกับแบรนด์นาฬิกา High End อย่าง AP หรือชื่อเต็มว่าAudemars Piguet และมีคอลเลคชันที่สร้างชื่อให้กับแบรนด์และรักษาระดับคะแนนนิยมมายาวนานไม่ตกอย่างคอลเลคชัน Audemars Piguet Royal Oak และในปีนี้ก็มีการเปิดตัว Royal Oak โฉมใหม่สุดไฉไลที่เพิ่มออกมาใหม่เอี่ยมในคอลเลคชันRoyal Oak Offshore และที่น่าตื่นเต้นไปกว่านั้น เป็นการสร้างนวัตกรรมของนาฬิกาที่ผสมดนตรีเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัวและงดงาม เป็นงานศิลปะที่ก้าวกระโดดแต่มีคุณค่ามาทีเดียว เรามาทำความรู้จักนาฬิกาแห่งนวัตกรรมการเชื่อมโยงนี้กันเลย
Audemars Piguet I Royal Oak Offshore Selfwinding Music Edition Watches
Royal Oak Offshore Selwinding – Music Edition
43 MM.
Retail Price
Royal Oak Offshore Selwinding – Music Edition
37 MM.
Retail Price
ก่อนอื่นต้องพูดถึงโมเดลที่ถูกนำมาสร้างใหม่อีกครั้งอย่าง Royal Oak ที่เป็นดีไซน์เอกลักษณ์ของความเป็น Audemars Piguetที่ฝังรากฝังลึกในใจนักสะสมนาฬิกากันมาอย่างยาวนาน จ้าวแห่งทรงแปดเหลี่ยมที่ไม่เหมือนใคร และอีกทั้งด้านแห่งความอัจริยะงานปฏิมากรรมศิลปะบนนาฬกาข้อมือ AP ก็เป็นความล้ำหน้าด้านนวัตกรรมแห่งวงการนาฬิกาโลกเลยก็ว่าได้หากเราไม่พูดถึง Smart Watch เพราะเป็นครั้งแรกของการผสมผสานดนตรีเข้ากับการบอกเวลาบนนาฬิกาแบรนด์หรูระดับโลกที่เป็นความครีเอทแบบคาดไม่ถึง โดยแรงบันดาลใจการออกแบบนาฬิการุ่นนี้มาจากห้องบันทึกเสียง
AP ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอุตสาหกรรมนาฬิกาหรูอย่างที่เรารู้กัน และประวัติที่แสนไม่ธรรมดาตั้งแต่เริ่มต้นแบรนด์มาจนถึงปี 1875 Audemars Piguet ไม่มีความกลัวสักนิดหลังจากผ่านวิกฤตหลายอย่าง ไม่เคยต้องกลัวที่จะเขย่าวงการนาฬิกาด้วยนวัตกรรมเหนือชั้น เนื่องจากที่แบรนด์มี Royal Oak เป็นเหมือนซิกเนอเจอร์ของแบรนด์ที่ใครก็คว่ำลงไม่ได้ ตั้งแต่ปี 1972 จนปัจจุบัน และแบรนด์ให้ความจริงจังในทุกอย่างที่ท้าทายจนได้เกิด Audemars Piguet Royal Oak Offshore Selfwinding Music Edition ออกมาให้เห็นในที่สุด เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบ 50 ปีแห่งดีไซน์คลอเลคชัน Royal Oak
คอลเลคชันนี้จึงเป็นการสร้างแบบในเสมือนจริงของสตูดิโอบันทึกเสียงนาฬิกา Audemars Piguet Royal Oak Offshore Music Edition ทั้งหมดให้ดีไซน์ Faders อยู่บนคอนโซลด้านบนมีความผสมผสานกัน ให้การเพิ่มแทร็คแกะสลัก ใช้การเชื่อมต่อระหว่างตัวเรือนกับสายเป็นแบบผิวนูนมีมิติที่ออกแบบมาเป็นลักษณะเฉพาะเหมือนแจ็คของสายเคเบิล ให้เทคนิคการลดแสดงสะท้อนด้วยกระจกแบบคริสตัลแซฟไฟร์ พร้อมด้วยเคสด้านหลังที่ให้ความใสสำหรับการมองเห็นการเคลื่อนไหวแบบไขลานอัตโนมัติที่ให้ความรู้สึกคลาสิกแบบไร้การบดบัง เม็ดมะยมขันเกลียวคลอบไว้ด้วยดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Faders
เอกลักษณ์เฉพาะ Audemars Piguet Royal Oak Offshore Selfwinding Music Edition
Design
นาฬิกา Audemars Piguet Royal Oak Offshore Selfwinding Music Edition มีความโดดเด่นด้วยดีไซน์หน้าปัดแสดงเวลาสะท้อนให้เห็นหน้าจอที่เป็นไฟมิเตอร์ VU องค์ประกอบในคอนโซลบันทึกเสียงแบบอีควอไลเซอร์ บริเวณหน้าปัดมีความสง่างามในความเป็น Royal Oak ที่ให้ความงามแบบ Tapisserie อันเป็นซิกเนเจอร์ตลอดมากับRoyal Oak พื้นตารางสีพื้นหรูหราถูกเนรมิตรให้เป็นระดับเสียงดนตรีหลากสีสัน ที่เริ่มไล่สีจากด้านล่างตัวเรือนจนถึงด้านบน ให้ลูกเล่นด้วยการเปลี่ยนสีตามตำแหน่งที่สูงขึ้น เหมือนกับแสงไฟของเครื่องวัด VU
การสร้างลาดอีควอไลเซอร์ที่มีเหมือนกันในคอลเลคชันนี้ แต่ก็มีความแตกต่างกันแต่ละเรือน อย่างรุ่นไททาเนียมที่ให้สีน้ำเงินมาพร้อมกับมาตรวัด VU เพิ่มสีสันสดใสที่พิมพ์บนพื้นผิว ในขณะที่รุ่นเซรามิกสีดำมีพื้นหลังสีดำสำหรับมาตรวัด VU ที่พิมพ์ออกมา ตัวหน้าปัดทั้งสองรุ่นมีขนาด 37 ทm. และ 43 mm. สร้างความโดดเด่นในรุ่นหน้าปัดสีน้ำเงินอเวนเจอรีนด้วยตัววัด VU ทำจากอัญมณีเจียระไน มีหลายหลากสี เป็นอัญมณีที่เป็นตัวทับทิม เพอริดอท แซฟไฟร์ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าบนพื้นผิว บนหน้าปัดทั้งหมด ตำแหน่งบอกชั่วโมงสีขาว-ทอง และเข็มนาฬิกาที่ส่องสว่างตรงกันจะแสดงเวลาของวัน ในขณะที่วงแหวนกรอบด้านนอกสีดำหรือสีน้ำเงินในแต่ละรุ่นจะบอกแทร็กนาที
Movement
กลไกขับเคลื่อนของ Audemars Piguet Royal Oak Offshore Selfwinding Music Edition ขนาด 37 mm. ทั้งสองรุ่นคือกลไก Calibre 5909 ในขณะที่รุ่น 43 mm. ในดีไซน์ที่แตกต่างกันแต่ก็ยังใช้การทำงานบน Caliber 4309 ทั้งหมด โดยกลไกทั้งสองแบบหน้าปัดภายในมีการแสดงเวลาแบบสามเข็มเท่านั้นและทำงานที่ ความถี่มาตรฐาน 28,800vph อย่างไรก็ตาม ขนาดที่ใหญ่กว่าของ Caliber 4309 หมายความว่าสามารถสำรองพลังงานได้นานกว่ารุ่นพี่ที่มีขนาดกะทัดรัดกว่า และให้การสะสมพลังงานได้ถึง 70 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับการสำรองพลังงาน 60 ชั่วโมงของ Caliber 5909
Audemars Piguet Royal Oak Offshore Selfwinding Music Edition ใหม่ทั้งหมดมาพร้อมกับสายยางสี่สายซึ่งประกอบด้วยสายสีดำหรือสีน้ำเงินเพื่อให้เข้ากับหน้าปัด พร้อมด้วยตัวเลือกทางเลือกสามแบบในสีเทอร์ควอยซ์ สีเหลือง และสีเขียว นอกจากนี้ สายรัดสำหรับรุ่น 37 มม. ยังมีลวดลาย “โมเสคเอฟเฟกต์” บนพื้นผิว และรวมถึงระบบสายรัดแบบเปลี่ยนได้แบบเดียวกับที่เปิดตัวครั้งแรกในคอลเลกชั่น Offshore ตัวแรกที่เปิดตัวเมื่อปี 2564 ติดตั้งกับสายรัดของรุ่นไททาเนียมและเซรามิก หัวเข็มขัดไทเทเนียม ในขณะที่รุ่นทองคำขาวทั้งสองรุ่นได้รับตัวล็อคแบบบานพับที่เข้าชุดกันซึ่งทำมาจากทองคำขาว 18k
สำหรับAudemars Piguet Royal Oak Offshore Selfwinding Music Edition ถูกผลิตออกมาเพียง 500 เรือนทั่วโลกเท่านั้น ดังนั้นความเป็น Limited Edition ของรุ่นนี้จึงเป็นอะไรที่กระชากหัวใจนักสะสมผู้มีใจรักในเสียงดนตรีควบคู่กันไปได้อีก ความคิดสร้างสรรค์ด้านการพัฒนา AP ก็ยังคงเป็นแบรนด์ที่อยู่ในระดับบนเสมอ ทุกนวัตกรรมที่มีการปรับออกมาแต่ละคอลเลคชัน ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริง ๆ watchfunonline
เกมส์ออนไลน์แนะนำ >>> UFABET เว็บตรง